วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556








กฤชณัท ปัญสุทธิ์
ประวัติ ปัจจุบันทำงานบริหารภาคเอกชน
อดีตผู้พิพากษาสมทบ ศาลคดีเยาวชนและครอบครัว
ครูบาอาจารย์เดิม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ , หลวงพ่อปาน ,แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ,อ.ลือชัย คำมี ,อ.วิเชียร อยู่เกตุ ,อาจารย์ ทองทิพย์ โอภาโส , แม่ชี ธนพร ขวัญนาค อ.ภราดรภาพ ผู้มีพลังจิตตานุภาพ แห่งชมรมนักปฏิบัติธรรมศินารา แห่งเวปญาณทิพย์ฯลฯ
ก่อนจะมาฝึกสมาธิ สนใจต้องการความสงบ การปล่อยวาง การเข้าถึงญาณสมาธิ.
ฝึกสมาธิ กรรมฐาน ตั้งแต่พื้นฐานถึงระดับวิชชาสาม เปิดญาณบารมี และมโนมยิทธิเต็มกำลัง
จุดนำพามาพบและเริ่มฝึกวิชาสามกับอาจารย์ภราดรภาพ....ชมรมนักปฏิบัติธรรมแห่งศินารา ...ที่วัดผ่องพลอย กรุงเทพ ในกลางปี 2554..จำรุ่นไม่ได้.(ครั้งที่1)กับลูกสาว2คน...ทราบ จากทางเนตเวป...ญาณทิพย์...น่าสนใจหลักการใช้ได้...แต่จำนวนจองวันดังกล่าวเต็ม...จะทำอย่างไร...โทรมาหาอาจารย์เลย...และบอกขอรับเป็นลูกศิษย์ด้วย…โดยเฉพาะการฝึกมโนยิธิเต็มกำลัง...ตามแนวเรายึดเลย...ประกอบกับฟังธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยู่แล้ว

สนใจฝึกอบรมฝึกจิตให้สงบ...ฟังธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นทุน...กับทางพ้นทุกข์
1.สนใจฝึกอบรมฝึกจิตให้สงบ...เป็นทุน...หลักสูตรแบบนี้อยู่เป็นทุนเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมธรรมแบบนี้...ได้นำผลไม้1-2 ตะเข่งมอบให้ญาติธรรมที่ทำอาหารอยู่...โดยมีความตั้งใจนำมาให้ญาติธรรมทานที่ทานเจกัน...ในการปฎิบัติธรรมวันนั้นด้วย...คนมากเต็มศาลาชั้น 2 ทุกท่านใส่ชุดขาว...ยิ้มทักทายกัน..นั้งสงบๆๆตามจุดๆๆ และก็อาจารย์ก็เรียกมาเปิดวิชาสามกับอาจารย์และครูบาอาจารย์อื่นๆที่ละคนๆๆๆผมก็ถูกเรียก...มาจุดตรงนี้...ที่อาจารย์ไม่รู้จักล้อมรอบ.
2.ปี54 เป็นช่วงที่อะไรๆๆๆก็ไม่รู้เข้ามามากในชีวิต...จนรู้เครียดมากงาน-ครอบครัว-และคุณพ่อป่วยหนัก...
จุดเปลี่ยนเข้าหาทางดับทุกข์เข้าหาธรรม..”ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรมจริงๆ” ผมก็เข้ามาศึกษาแนวใดก่อนตรงกับเราหรือเปล่า...
ช่วงที่มาพบกับท่านภราดรภาพ....พบเรามีติดไปด้วยเป็น ดอกไม้ดาวเรือง1 พวง
ตอนเข้าไปหา ท่านก็ถามว่า...ใจติดอะไรอยู่...ใจอยากจะบวชแต่เป็นหวงอะไร...เราคิดไม่มีทางออกจริง...ปัจจุบันตอนนั้นตนเองรักษาศิล5ให้บริสุทธิ์ และคิดถึงการตายอยู่สม่ำเสมอในจิตใจ...เพื่อให้กรรมเวรที่มีจะตามเราไม่ทันในชาติหน้า...แนวการสอนฟังจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (มรณานุสติ) เจตนาคิดสิ่งยึดเพื่อจะเข้าให้ถึงธรรมในการฟังและปฎิบัติมากยิ่งขึ้น.

-ท่านคิดและพูดออกว่า"เราจะคิดเข้าถึงโสดาบัน"อยู่...ใช่ตรงเลยตอนนั้น...แต่เราไม่พูด...ให้อาจารย์ได้ทราบ...ท่านก็สวดบทภาษาของท่าน...เราไม่เข้าใจ...ข้าพเจ้าฟังคงเป็นภาษาเทพ...ในการเปิดวิชาสามที่ท่านแนะนำ...และให้เราภาวนา...ต่อหน้าองค์พระขนาดใหญ่...ใจเรา
ต่อหน้าองค์พระขนาดใหญ่...ใจเราก็สงบๆๆๆๆลง...ไม่มีอะไรที่เป็นฤทธิเดช...ออกมาสำหรับตัวผม...เหมือนท่านอื่นๆ
ปกติแนวผม ภาวนาเดิม"พุทโธ".......และเรามอบดอกไม้ ให้บูชา 1 พวง ท่านอาจารย์ภราดรภาพ
-ท่านก็บอกเรามี เทพที่รักษาคือ สมเด็จพระนเรศร , ผมสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและน่าจะเป็นลูกหลานท่าน , แนะนำมีจังหวะขอให้บวช...ยังติดอะไรอยู่ท่านถามอีก...เราอ้าง1.ครอบครัว 2.พ่อป่วย-และท่านมอบดอกไม้ คืนให้บูชา 1 พวง แต่สุดท้าย.
- ปี2554ปลายๆปี ผมก็ตัดสินใจบวชพระ...ตามที่ท่านทักที่วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพ โดยมีเจ้าคณะใหญ่หนกลางเป็นพระอุปชาบวชให้..สมใจ...ได้ถูกส่งให้ไปปฎิบัติธรรมสำหรับพระใหม่แนววิปัสสนากรรมฐานที่...สำนักปฎิบัติธรรมโมลี...จังหวัดนครราชสีมา ทางขึ้นเขาใหญ่กว่า 15วัน คำว่า"สันทิฏฐิโก" (ผู้ปฏิบัติพึงเห็นผลได้ด้วยตนเอง)มีจริงครั้งต่อไป

1.ในขณะบวชเป็นนาคและมารับฟังธรรม – เจ้าคณะใหญ่หนกลางเทศน์ พระพรหมโมลี (ปัจจุบันพระพรหมโมลี ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะ)

สิ่งเกิดที่ปิติกับข้าพเจ้า 2 ครั้งสำคัญในการบวชพระในครั้งนี้ คือ
1.ในขณะบวชนาคและมารับฟัง – เจ้าคณะใหญ่หนกลางเทศน์สอนเรื่อง พระรัตนไตร 3 ประการ คือ 1.พระพุทธ อธิบายรายระเอียด และ2.พระธรรม....อธิบายรายระเอียด.ช่วงนี้เอง...น้ำตาของผม..ไหลลงๆๆมาเหมือน..ท่อน้ำรั่วไม่หยุด...ทั้งที่นาค 3 องค์อื่นๆก็สงบกัน ฟังธรรมปกติที่บวชกัน 4 องค์ไม่มีอาการใดๆ...จนพระเลขา เจ้าคณะใหญ่หนกลาง(สมัยนั้น) ส่งกระดาษมาให้เช็ดหน้า1-2-3ก็ไม่หยุด...ทั้งที่ผมเป็นนาคอาวุโสสุด...คนที่ 1ที่จะต้องทำการบวชองค์แรก....รู้ว่าได้ฟังธรรมที่ท่านสอน...มีความปิติในใจอย่างนี้...เรามีบุญนะที่ได้เกิดมาบวชพระสืบทอดพระพุทธศาสนาในครั้งนี้...บอกไม่ถูกจนต้องออกมาทางน้ำตาเช่นนั้น
สิ่งเกิดที่ปิติกับข้าพเจ้า 2 ครั้งสำคัญในการบวชพระในครั้งนี้ คือ


2.ในขณะปฎิบัติกรรมฐาน"ี่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี "อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเมตตาส่งข้าพเจ้าไปเข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐาน...หลังบวชอีกวันทันที่..พระใหม่ทุกรูปที่บวชที่วัดพิชัยญาติการาม จะต้องถูกส่งมาฝึกกรรมฐานทุกองค์ โดยแนวภาวนา”ยุบหนอ-พองหน่อ” นั่งปฎิบัติประมาณ..วันที่ 7-8 ของเดือนเมษายนปี54 ปกติก็ภาวนา...ไม่มีอะไรเพื่อให้จิตสงบ. แต่วันนั้น นั่งปฎิบัติกรรมฐานตอนเช้าประมาณ 8-9 โมงเช้า ที่นั่งภาวนาขณะเป็นพระ...อยู่ๆก็ปวดเข่ามากๆขึ้นๆๆจนรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว...ใจเราตอนนั้นตัดสินใจเลย...ขอตาย...ในวันนี้เลย...โดยอาราธานาสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า...ข้าพเจ้าชื่อ.....ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว...ขอตายในที่นั่งภาวนานี้...หลังจากนั้นแค่คิดไม่ถึงวินาที่เหมือนท่านรับทราบ...น้ำตาหยดแรกรวมตัวที่ตาข้างขวา...น้ำตาได้ไหลลงมาหยดแรก...ลงสู่ตักและมือที่ภาวนา...และก็มีน้ำตาหยดที่2-3-4-5..จนรู้สึกตัวว่าตัวเบาประกอบกับที่ปวดเข่าหายไปได้อย่าไร...แปลกแต่จริง...ปกติข้าพเจ้าจะนั้งกรรมฐานได้ 10-15นาที่แล้วจะลุก...เดินจงกรมให้เกิดสติและขาแข็งจะนั้งได้นานแล้ว...แต่ครั้งนั้นนั้งไปประมาณ 1ชมกว่าได้...แปลกใจตนเอง...ได้ยินพระองค์อื่นๆ...ท่านบอกดูองค์นั้นท่าน้ำตาไหล...เราก็ไม่สนใจก็ภาวนาอย่างเดียว...จิตรวมตัวทำให้เรานั้งภาวนาวันนั้นนั่งได้ประมาณ 4-5 ชม.ซึ้งถือนั้งได้นิ่งและนานกว่าเดิม...จิตใจสงบลงๆๆมากขึ้น...และอะไรเกิดภาพในนิมิต..ในชีวิตไม่เคยเจอก็พบเจอ...ด้วยตนเอง.ติดตามตอนต่อไปครับ

ก่อนนั่งภาวนาในคืนนั้นพระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองที่อยู่ในกุฎิ...ท่านมาสอนการนั่ง...สมาธิเพื่อภาวนากรรมฐาน...ให้ถูกวิธี...โดยในการนั่งภาวนาปกติ...เราเป็นบุคคลทั่วไปก็ นั่งสมาธิ...โดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน...ก็ดี ปกติในจุดที่นั่งสมาธิแนะนำดังนี้ จะต้องให้สมดุล-สนิท-สบายและวางมือ...นั่งลำตัวให้ตรง...สบายๆๆไม่เครียด...เราทราบไม่คิดอะไรมาก.วันรุ่นขึ้น...เราลองของเลย .บทสมาทานพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ...โดยเราถือสวดปฎิบัติมานานแล้ว..ก็เลยติดสมาทานก่อนทุกครั้ง.
"อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจัจชามิ"
ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมี
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบๆกันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
(และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง) เป็นที่สุด
ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ
พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙
ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕
และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ จงมาบังเกิดปรากฏ
ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร
ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต
สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆ
ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิต
ที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้น ได้ชัดเจนแจ่มใส
และพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกประการ
เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น
ได้โดยมิต้องกำหนดจิต แม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด.

( บทนี้ก่อนนั่งกรรมฐาน...ท่องทุกครั้ง )

เราก็เริ่มภาวนา”ยุบหน่อ พองหน่อ “ๆๆๆๆ... วันนั้น...ใจจะขาด..เพราะขา-เข่าปวดกระดูกจะแตกให้ได้...ปวดสุดๆๆๆ...ตัดสินใจ “ขอตายในนั่งกรรมฐาน”ต่อองค์สมเด็จพระสมัมาสมพุทธเจ้า.น้ำตาไหลมาและเราก็พบหายปวดขาที่นั่ง...และอาการปวดมากใจจะขาด...หายไปไหน...ตัวเบา...จิตก็ภาวนาต่อไปจน...ภาพนิมิตมาปรากฏให้เห็นดังนี้
ภาพแรก– เห็นตัวเราในขณะเป็นประชาชนปกติในชุดขาวที่ปฎิบัติธรรม

มาที่ด้านหน้าที่ละภาพๆ
ภาพสอง– เห็นตัวเราในขณะเป็นพระปฎิบัติธรรมชุดพระ

มานั้งภายนอกสมาธิภาวนาอยู่
ภาพสาม– เห็นพระสงฆ์ องค์มานั่งภายนอกสมาธิภาวนาอยู่

ทราบในจิตเป็นหลวงปู่ทวด และมีภาพเราในขณะเป็นพระนั้งอยู่ข้างท่าน.เหมือนท่านสอนนั่งสมาธิให้เราอยู่.
ภาพสี่– เห็นพระสงฆ์ อีกองค์มานั่งย่องๆภายนอกอยู่
ทราบในจิตเป็นหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่

ทราบเพราะเห็นท่านนั้งสูบบุหรี่.
ภาพห้า– เห็นพระที่ยืนสูงมาก...อยู่ข้างที่นั่งภาวนาด้านขวาอีกองค์

มองไม่เห็นองค์ท่าน..เห็นเฉพาะหน้าแข้งท่านนั้น...ทราบจากอาจารย์. พงษ์ บัวสวรรค์ แห่งศินารา..ในการปฎิบัติวิชาสามท่านบอกว่า...”สมเด็จองค์ปฐม”.
ภาพหก– เห็นภาพนายหลวง (รัชกาลที่ 9 ) ท่านนอนที่โรงพยาบาลอยู่
ปกติผลของการนั่งสมาธิภาวนาเรา...ภาพนิมิตเช่นนี้...ในขณะนั้งปกติจะไม่เคยปรากฏเลยถือเป็นครั้งแรกในชีวิตการปฎิบัติธรรมนั้นต้องเห็นได้ด้วยตนเองจริงๆ."สัณฐิติโก" ในพระธรรมมีจริงในชาตินี้.
..."ผลของการฝึกภาวนา...เจออะไรอีก...แปลกๆๆ"ที่อยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี "อ.ปากช่อง
จ.นครราชสีมา
ติดตามตอนต่อไป.
วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2554
ได้เดินทางไปถึงปฎิบัติธรรม ศูนย์ปฎิบัติธรรม ธรรมโมลี
- ตรงกับในช่วงวันที่ 20 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม เป็นช่วงที่มีดาวเคราะห์เรียงตัวเพียงแนวเดียว คือในวันที่ 21 เมษายน ซึ่งเป็นการเรียงตัวระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์ และ ทางช้างเผือก ในแนว 135 องศา ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดียวที่ดวงอาทิตย์จะมีปฏิกริยามากที่สุดในช่วงนี้ แต่ความรุนแรงอาจจะไม่มากนัก ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้น่าจะอยู่ในระดับปานกลางระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน โดยวันที่ 25 เมษายน เวลาประมาณ 0 UTC เป็นวันที่ โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ เรียงตัวในแนว 90 องศา ซึ่งอยู่ในช่วงที่พายุสุริยะจากวันที่ 21 เมษายน จะมาที่โลกพอดี
-กลางคืนเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เดินเท้าขึ้นเขาไปกราบ พระพุทธมหาสิขรศักยมุนี(หลวงพ่อเขาใหญ่)
โดยพระพี่เลี้ยง( พระมนัส ) ที่ท่านนำมาส่ง บอกให้ไปกราบท่าน และนั่งสมาธิกันรวมพระจำนวน 5 รูป ต่อหน้าหลวงพ่อเขาใหญ่
-องค์แรกท่านนั่ง ( พระมนัส ) และองค์ที่สอง พระบวชองค์ที่ 2 นั้งต่อหลังมา 1 แถว
-องค์ที่บวชที่ 3-4 นั่ง แถวที่สอง ระหว่างกลาง
-องค์ที่ 1 (ผมเอง ) นั่งปิดหลัง
สภาพในขณะนั้นประมาณเวลา 5 ทุ่ม เงียบสุดๆๆ ที่บริเวณหน้าลานปูนซิเมนท์ ที่ยังมีลักษณะที่ก่อสร้างไม่เสร์จ ในเดือนแรม มืดมากขอบอก...มองอะไรเลย...แค่ห่างไม่เกิน 1-2 เมตร ก็มองไม่เห็นแล้ว ไม่เห็นทาง มีเพียงไฟฉาย 1 ดวงเล็กมาก กับอากาศเย็นๆกับสลับกับ ทุกองค์นั้งหันหน้าไปยังพระพุทธมหาสิขรศักยมุนี(หลวงพ่อเขาใหญ่)

-ใจเติมที่มาเกินร้อย...พระใหม่ต่างองค์ก็มุ่งมั่น...สร้างบารมีนี้เป็นครั้งแรก ในการนั้นสมาธิภาวนา ต่อหน้าองค์ท่านพระพุทธมหาสิขรศักยมุนี(หลวงพ่อเขาใหญ่) ...
-ผมนั้งไปได้ประมาณ 30-40 นาที่ รู้ว่ามีเสียงดัง...นกร้อง..1.2.3..และไม่นานก็มีเสียงคล้ายใครเดินเหยีบใบไม้แห้ง...โดยรอบก่อน...หายไป...และก็มีเสียงดังกล่าวเข้ามาหาอีก ที่ละนิด...ที่ละนิด... ใจตอนนั้นก็เริ่มเต้นๆๆแรงขึ้นมากขึ้น...ยอมรับกลัวมาก. แถมเรานั่งปิดหลังสุดด้วย....คิดในใจเราเป็นพระอยู่อย่ากลัว....เราไม่ได้ทำอะไรเขา.

-เสียงดังนั้น...เดินเข้ามาหาไม่ทราบ...จะมาทำอะไรเราหรือเปล่า...เราผวาหลังอยู่ตลอดเวลาและ เมือใดเท่าไรใครเดินเล่นหรือเปล่า...เวลานี้ ใกล้ เที่ยงคืนได้... จะถึงตัวเรา...เราจะลืมตาดูหรือเปล่า...ใจก็กลัว...จิตก็ภาวนาไปไม่หยุด.ใจทราบโดยทันที่...อัตโนมัติว่า "น่าจะเป็นยักษ์ ตัวขนาดใหญ่ ที่ดูแลพื้นที่เขาใหญ่แห่งนี้ โดยเดินมาหยุด น่าจะประมาณ 2 เมตร แสดงอาการเหมือนโกรธจัด...โดยใช้มือเท้ากับเอวทั้งสองข้าง...พูดว่าหรือถาม...(ใจคิดอยู่)...ว่ามาทำไม...ในพื้นที่นี้...
-เราบอกไป...ในจิตว่าเรามาขอมานั่งภาวนา ต่อหน้าองค์หลวงพ่อเขาใหญ่...เพื่อสร้างบุญกุศล อย่าทำร้ายเราเลย...ใจคิดหากจะมาทำร้ายก็จะให้ทำ ในขณะที่นั้งสมาธิโดย...ก็ขออย่ารบกวนการปฎิบัติธรรมของเราเลย...โดยขอให้ไปห่างประมาณ 1-2 กิโลอย่าเข้ามาบริเวณดังกล่าวนี้เลย.เหมือนเขาจะรู้...กับการขอร้อง...หายไปพักใหญ่...ก็มาอีกเหมือนเดิม...เสียงเดินเข้ามาหา...แต่อาการกลัวและผวาก็ค่อยลดลง จนลืมว่าหลังเรามีอะไรอยู่จะกลัว...เพราะกำหนดอยู่ที่ลมภาวนาอย่าเดียว.ในช่วงนั่งภาวนานั้นมีสิ่งที่แปลกไม่เคยเห็น 2 อย่าง กับพระใหม่ผู้ปฎิบัติเช่นกัน...และติดตามตอนต่อไปครับ
พระองค์แรก - ได้คลุมผ้าปิดหมดหลังจากปฎิบัติสมาธิภาวนาได้ไปประมาณ 30 นาที่ ( ทราบภายหลังท่านบอกพบเห็น เด็กมายืนมองแอบ 1 คน ตกใจจึงคลุมผ้า ท่านกลัวไม่ไปปฎิบัติและกิจของสงฆ์กว่า 3 วัน จับไข้ต้องทานข้าวต้มและพระผู้ใหญ่มาดูและให้ดึงสติกับมาในตน..และสวดมนต์ก็ดีขึ้น )

พระองค์ที่สอง -ได้นั้งภาวนา "เกศา - โลมา -นะขา - ทันตา - ตะโจ" โดยนั่งห่างจากผมไปด้านขวามือประมาณ 1-2 เมตร ทุกคนออกจากภาวนา ...จะกับกุฏิ...กันแต่มีองค์นี้ นั่งจนเหมือนเป็นหิน แต่ออกจากสมาธิไม่ได้...พระพี่เลี้ยงก็ดึงสติออกมาให้...และภาวนา"ออกหน่อ...ออกหน่อ..กว่า5-10 นาที่จึงหลุดจากองค์สมาธิดังกล่าว.

(ส่วนตอนหน้าจะเล่าถึงประสบการณ์ คืนแรกที่พบเสียงแปลก...ที่มาขอส่วนบุญผมตอนตี3 )

คืนแรกของการปฎิบัติเสร์จ...ประมาณร่วมตี 1 กว่าจะจำวัดได้...
เวลาประมาณตี 3 - ทางศูนย์ปฎิบัติธรรมโมลี ตีระฆังเรียกพระทุกรูป เตรียมไปสวดมนต์ แต่ผมนอนปลุกนาฬิกาไว้
เวลาประมาณตี2.30 ของคืนแรก ผมตื่นจากจำวัด และมานั้งบันทึกความจำ ที่มาปฎิบัติที่วัดทำอะไรบ้าง นั้งจำปากกาจะเขียน "ได้มีเสียงหวีดร้อง ดังก้องมาและไม่เคยได้ยินในที่ต่างๆ อายุผ่านมากว่า 46 ปีแล้วก็ไม่เคยได้ยิน...ได้ยินครั้งแรกก็ตกใจ เพราะดังไม่หยุดกว่า 10-20 นาที่ ไม่ใช้จิ้งหรีด แมลงหรือนกร้อง ในช่วงตี2กว่าหลอกครับ...ผมคิดในใจ...มีใครคงมาของส่วนบุญเราแน่.
- ใจก็คิดอยากร้องก็ร้องไปเหนื่อยก็หยุดเอง..จิตก็ไปอยู่ที่ปลายปากกา...บันทึกข้อความในสมุด"มีเสียงประหลาดมาขอส่วนบุญ" ผมจำวัดติดอยู่ที่หน้าต่างชั้น 2 ขอกุฏินั้นโดยแยกตัวออกมาองค์เดียวโดดเลย...มุมสงบ...เล่นเอาผมตกใจหมด..เช้ามืดในวันนั้น...เสียงนั้นหยุดไป.
- วันนั้น...ผมคิดอยู่ในใจ...ทำวัตรเช้าแล้ว หลังฉันอาหารเช้า จะต้องกรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่มาขอเรา...ในขณะนั้น...วันนั้นเช้า...ผมได้เตรียมขันน้ำขนาดกลางพร้อมน้ำ และบทกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แบบชุดใหญ่ให้ได้รับแบบเต็มๆ."ตั้งแต่ที่กรวดน้ำไป วันแรก ไม่เสียงดังแปลกๆมารบกวนการพักและปฎิบัติที่นั้นอีกเลย " ผมสอบถามมีพระใดได้ยินเสียงดังกล่าวหรือเปล่าเมื่อคืน...พระจำนวนกว่า 5 รูปไม่ได้ยิน มีแต่พระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง องค์เดียวที่ตอบว่าได้ยินและท่านก็ไม่พูดต่อ. สิ่งที่ยังไม่เห็นยังมีอีกมาก.ในโลกของเราใบนี้...ครั้งหน้าจะเล่าการนั้งปฎิบัติธรรม...แล้วในช่วงที่อยู่เขาใหญ่ เกิดอะไรบ้าง กายและใจในการปฎิบัติบ้าง.
การกาย-ใจ-ในช่วงที่อยู่เขาใหญ่ เกิดอะไรบ้าง กายและใจในการปฎิบัติบ้าง.
ชีวิตหนึ่งหากไม่พบก็ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง...หากไม่เริ่มรักษาศิล ให้บริสุทธิ์ เพราะจะมีผลต่อกายและใจ ในการปฎิบัติต่อไป

วันที่เราพร้อมทั้งศิล สมาธิ ปัญญาก็เกิดจริงการเดินจงกรมก่อน20-30 นาที่ เพื่อให้ขาแข็ง จะได้นั้งสมาธินานขึ้น การนั้งสมาธิที่เขาใหญ่ รับว่าสงบสุข ไม่มีทุกข์ แต่คิดนำใจส่งนอกก็มีภาพโดย
ภาพที่เกิดจากหน้าที่การงาน ครอบครัว กามตัณหา มาสัมผัมดวงจิตของเราให้คิดๆๆๆให้เป็นหวง
เราก็พยามตัดโดยการกับมากำหนดในลมหายใจอย่าต่อเนื่องๆๆๆๆอยู่กับปัจจุบันรู้ตนๆๆๆๆภาวนาไปเรื่อยๆๆๆตั้งใจให้ได้ 1-2 ชม ภาพงูยากขนาดใหญ่มาก ไม่รู้มาจากไหนนำหัวมาวางไว้ที่ตัก และไหลลงน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะสมาธิภาวนา ก็ตกใจอยู่เกิดขึ้นได้อย่างไร...ไม่นานนิมิตนั้นก็จางหายไป

การภาวนาห่างจากนั้นไปได้ประมาณ 30 นาที่ ก็พบว่าเราหัวไปกระชนกับอะไรไม่ทราบ ครั้ง 1-2-3-4 จนรู้ว่าเจ็บ ก็ค่อยออกภาวนา และอธิฐานจิตอุทิศส่วนบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร

จำได้ในขณะที่เคยบวชเป็นเณรเคยนำมีดไปฟันหัวปลาช่วงน้ำท่วมสมัยเด็กๆ. หลังการนั้งกรรมฐานเสร์จก็แผ่ส่งบุญให้ท่านได้รับและขออโหสิกรรม

ช่วงกลางคืนก็ภาวนาประมาณ 1 อีกย่อมรับสงบไม่มีความทุกข์ ทางใจมาบีบให้ออกจากกรรมฐานแต่อย่าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น